การผจญภัยของเรา (ในขณะที่อพยพจากประเทศพม่าเพื่อเข้าสู่ประเทศอินเดีย)
โพสต์ พฤศจิกายน 16, 2021 โดย Muan ใน คำพยาน
Read this article, "Our Journey (as a refugee from Myanmar to India)", in English
เมื่อช่วงเวลาบ่าย 2 โมง เราได้ออกเดินทางจากกะเล่ (เมืองทางตะวันตกของประเทศพม่า) ในขณะที่กำลังออกเดินทางอยู่นั้น (พฤษภาคม 2021) เราสังเกตไปรอบ ๆ ตัว ทั้งเมืองดูเหมือนเงียบมากและไม่มีใครขับรถหรือเดินบนท้องถนนสักคนเลย เมืองกาเล่นี้ตั้งอยู่ที่จุดศูนย์กลางของธุรกิจการขนส่งทั้งหมดระหว่าง รัฐชิน เขตชายแดนประเทศอินเดีย และประเทศพม่าฝ่ายตอนล่าง กาเล่เป็นหนึ่งในเมืองแรกที่ได้ต่อต้านการรัฐประหารด้วยอาวุธปืนที่ผลิตขึ้นมาเอง ซึ่งในทุก ๆ เช้า บนถนนสายหลักทุกสายจะเต็มไปด้วยประชาชนที่ประท้วงต่อต้านรัฐประหาร ร้านค้าทุกร้านและบ้านทุกหลังต้องถูกปิดลงหลังจากการประท้วงและบรรยากาศของบ้านเมืองดูเหมือนอ้างว้าง แต่ถ้าคุณเดินออกไปหรือหลบหนีไปจากที่นี่ ทหารจะยิงที่ศรีษะคุณแน่นอน และเหตุการณ์จะยิ่งรุนแรงหรือแย่ไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะทาฮาน (Tahan) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมไปทำงานเป็นประจำก็ได้กลายเป็นสนามรบไปแล้วและประชาชนที่อาศัยอยู่ ณ พื้นที่บริเวณใกล้เคียงที่นั่นก็ได้หลบหนีไปยังหมู่บ้านอื่น หรือ รัฐมิโซรัม (ซึ่งเป็นรัฐหนึ่งที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของเขตชายแดนในประเทศอินเดียที่มีเชื้อชาติคล้าย ๆ กัน) ผมคิดว่า บ้านคือสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุดสำหรับผู้คนเป็นส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคุณจะถูกยิงเมื่อไรหากคุณโชคไม่ดี บรรยากาศบ้านของเราไม่ได้ปลอดภัยอีกต่อไป
มีคำถามที่เข้ามารบกวนใจผมอยู่ตลอดเวลาที่ทำให้ผมต้องใคร่ครวญคิดเนื่องด้วยสถานการณ์เช่นนี้ “ผมจะอยู่ได้อย่างไรหากไม่มีงานทำ ผมจะหาเงินสำหรับค่าเล่าเรียนได้จากที่ไหน อนาคตของผมจะเป็นอย่างไร แล้วการปฏิวัติจะใช้เวลาอีกนานเท่าไร” และแล้ว ผมก็ได้ตัดสินใจที่จะหลบหนีไปจากสภาพแวดล้อมเช่นนี้และลี้ภัยไปยังประเทศอื่นเพื่อหวังว่าเผื่อจะมีโอกาสในการทำสิ่งอื่น ๆ และมีอนาคตที่สดใสไปมากกว่านี้
มีทหารได้คอยเฝ้าประตูทางออกเขตชายแดนของกะเล่และได้ตรวจสอบผู้คนทุกชนชั้นก่อนที่ข้ามเขตแดน พวกเราได้ข้ามประตู 9 ไมล์ (เป็นชื่อประตู) ซึ่งเป็นทางพิเศษจึงไม่ได้รับการตรวจสอบ และได้เข้าสู่รัฐชิน เมื่อเราได้มาถึงที่ เตดิม ซึ่งเป็นชื่อเมืองหลวงของ โซมิหรือชาวชิน ก่อนที่เราจะออกเดินทางต่อ เราได้แวะรับประทานอาหารเที่ยงและได้พักช่วงระยะหนึ่ง
(โน๊ต: รูปภาพเป็นรูปแค่ให้ดูแต่ผู้เขียนไม่ได้เป็นคนถ่าย)
มีเพื่อนคนหนึ่งที่เดินทางมาพร้อมกันกับพวกเรา ได้ขอเราว่าอยากจะขอแวะไปทักทายญาติพี่น้องของเขา แล้วก็ขอให้เรารอคอยเขา เขาบอกเราว่าเขาจะแวะไปไม่นานหรอก เพียงแค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว เราก็ไม่เห็นเขากลับมาเลย เราจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปต่อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อที่จะมุ่งไปยังหมู่บ้านทาเลคก่อนฟ้าสาง เราได้ตามหาเขาที่บ้านญาติ ๆ พี่น้องของเขา แต่ก็ไม่พบเจอตัวเขา พอเราเห็นพวกทหารกำลังนั่งรถทหารบนท้องถนนพร้อมกับถืออาวุธปืน เราก็หยุดเดินข้างทางทันที
ในระหว่างนั้น พวกทหารที่ขัดขวางการปฏิวัติและการจู่โจมกำลังเพ็งเล็งมองชาวบ้านไปทั่วและได้ผ่านเราและหยุดรถในขณะที่อยู่ระยะทางใกล้กับเรา พวกเขาก็จ้องมองมายังเราด้วย ใจของเราก็เริ่มสั่นและเต้นเร็วมาก เราได้แต่อธิษฐานลึก ๆ ในใจว่าขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปกป้องเราจากพวกทหารเหล่านี้ด้วยเถอะ และขออย่าให้เราต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาเลย ลองคาดเดาดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากพวกเขารู้ว่าเราได้หลบหนีมาจากเมืองกะเล่ พวกเขาจะต้องจับเราทุกคนเข้าคุกอย่างแน่นอน พวกเขาต้องคิดว่าเราเป็นสายลับหรือเดินทางเพื่อหาอาวุธในการที่จะสนับสนุนประชาชนที่เมืองกะเล่
หลักจากเหตุการณ์ดังกล่าว เราก็พบเจอเพื่อนคนที่เรารอคอย พอเราพบเจอเขาแล้ว เราก็รีบไปที่รถมอเตอร์ไซค์และออกเดินทางต่อเลยทันทีเพื่อมุ่งตรงไปสู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ถือว่าโชดดีมากที่พวกทหารไม่เห็นเรา
มีถนนอยู่ 2 เส้นทางเพื่อที่จะมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านทาเลค ในขณะที่เราได้ใช้เวลาไปนานพอสมควรกับการรอคอยเพื่อนไป 2 ชั่วโมง เราก็เลยเลือกเส้นทางลัด เมื่อเราไปถึงที่นั่นก็ 3 ทุ่มแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดึก ค่ำคืนนั้นเราก็ค้างคืนกับญาติพี่น้องของภรรยาของน้องชายผม ขณะที่กำลังรับประทานอาหารมื้อเย็นอยู่ด้วยกันนั้น ก็มีคำถาม ๆ เราว่า เราได้ใช้ถนนสายไหนเพื่อมายังที่นี่ เราก็รีบตอบเขากลับว่า ทางสายลัด หลังจากนั้นพวกเจ้าของบ้านก็กล่าวกันอย่างดีใจว่าเป็นพระพรอย่างมากที่พระเจ้าได้ทรงปกป้องและทรงนำพวกเรามาตลอดระยะทาง
ถนนอีกสายหนึ่ง เป็นเส้นทางที่ต้องผ่านหลายหมู่บ้านก่อนที่จะมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ได้ข่าวว่า มีทหารได้ข้อมูลบางอย่างว่ามีกลุ่มคนที่ก่อกบฎติดอาวุธ (ตั้งแต่รัฐประหาร คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นกบฎอีกต่อไปแต่พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ปกป้องประชาชนจากเหล่าทหารที่โหดเหี้ยม) ที่กำลังฝึกฝนอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ดังนั้น พวกทหารก็ได้ไปที่หมู่บ้านแห่งนั้นเพื่อจับกุมพวกผู้ชายทั้งหมด พวกเขาจะยิงใครก็ตามที่พยายามหลบหนีไปจากพวกเขา ถ้าพวกเราเลือกไปถนนสายนั้น พวกเราต้องผ่านหมู่บ้านนั้นและอาจจะถูกจับหรือถูกยิงได้
ผมได้ตระหนักอีกว่าเรามักจะโทษหรือบ่นพระเจ้าเมื่อสิ่งที่เราต้องการไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ แต่เมื่อเรายอมจำนนต่อพระองค์ แน่นอนพระองค์จะทรงนำเราในทุก ๆ วิถีทางของพระองค์ เรามักจะไม่เข้าใจทางของพระเจ้าเพราะว่า มีคำกล่าวในหนังสืออิสยาห์ 55:9 กล่าวไว้ว่า “เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไร ทางของเราก็สูงกว่าของเจ้าอย่างนั้น” อย่างไรก็ดี เราสามารถพบสันติสุขและความสำเร็จได้ในแผนการของพระองค์ ซึ่งมีคำกล่าวในหนังสือเยเรมีย์ 29:11 กล่าวไว้ว่า “เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับพวกเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า” แม้บางครั้งเราคิดว่าเรามาสายเกินหรือเรามาเลยเวลาแล้ว แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีคำว่าสายสำหรับพระองค์เสมอเพราะว่าเรามีพระองค์สถิตอยู่ในเรา
วันถัดไป เราก็ได้ข้ามเขตชายแดนของประเทศพม่าและได้ค้างคืนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ข่าวของการปิดเมืองทั้งหมู่บ้านได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ชาวบ้าน พวกผู้ใหญ่บ้านก็เตรียมการที่จะปิดหมู่บ้านให้เร็วที่สุด ดังนั้น เราเลยต้องการหารถบัสเพื่อที่จะไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งสำหรับในวันถัดไป แต่โชคไม่ดีที่นั่งรถบัสเต็ม แต่ท้ายที่สุด มีคนขับรถยนต์การค้าคนหนึ่งตกลงที่จะนำพาเราไปยังหมู่บ้านแห่งนั้นด้วยรถจิ๊ปของเขา
เช้าวันรุ่งขึ้นของวันถัดไปนั้น ภรรยาของคนขับรถจิ๊ปคนนี้ปฎิเสธที่จะนำพาเราไป ส่วนตัวเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะต้องฟังภรรยา เรากำลังเผชิญอยู่กับปัญหาที่ใหญ่หลวง หมดหนทาง และสิ้นหวัง เราร้องขอต่อหญิงคนนั้นว่าพวกเขาควรรักษาคำพูด ถ้าเราไม่สามารถไปตอนนี้ได้ เราจะต้องเสียค่าตั๋วรถไฟที่เราได้จองเอาไว้ล่วงหน้า เราจำเป็นที่จะต้องไปตอนนี้ และแล้ว หญิงคนนี้ก็ตัดสินใจที่จะให้ความช่วยเหลือเราโดยการโทรจองรถบัสให้เราแล้วเราก็ออกเดินทางต่อไป
รถไฟหน้าตาประมาณนี้ แต่คนเยอะกว่า
เรามาถึงที่รัฐมิโซรัมช่วงเวลา 3 ทุ่ม และค้างคืนหนึ่งคืนที่รัฐมิโซรัมและอีกคืนหนึ่งที่กูวาฮาติ (ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐอัสสัมของอินเดีย) เราได้ไปที่นครเดลี (นครในอินเดีย) โดยนั่งรถไฟจากกูวาฮาติและนั่นเป็นการผจญภัยที่พบว่าเสี่ยงมาก มีผู้คนบางคนเหมือนเราถูกจับในขณะที่นั่งอยู่บนรถไฟ หากเจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยค้นพบว่าพวกเราเป็นต่างด้าว เราต้องโดนจับแน่ ๆ แต่ขอบพระคุณพระเจ้า โชคดีมากที่ไม่มีคนตรวจสอบ นครเดลีถูกปิด 4 วันหลังจากที่พวกเรามาถึง
เรากลายเป็นผู้อพยพและผู้ที่แสวงหาที่ลี้ภัย เรากำลังเผชิญกับความยากลำบากในถิ่นอาศัยอยู่ ณ ขณะนี้ เพราะว่าค่าครองชีพสูง และเป็นเพราะอีกว่าเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด 19 ที่บ้านเมืองต้องถูกปิด ทำให้เราไม่มีงาน อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงนำพาพวกเรามาไกลถึงขนาดนี้โดยไม่มีจุดประสงค์ให้พวกเรา เราสามารถผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้ไปได้อย่างแน่นอน และชนะความยากลำบากทั้งหมดนี้ได้โดยการทรงช่วยเหลือจากพระเจ้า
โปรดอ่านบทความนี้เพื่อความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่และเหตุการณ์ต่าง ๆ ของผู้อพยพชาวชินในประเทศอินเดีย
https://india.blogs.nytimes.com/2011/11/30/life-in-limbo-for-chin-refugees/