เรื่องราวก่อนผมจะเป็นคริสต์เตียน
โพสต์ มีนาคม 22, 2025 โดย Fix ใน คำพยาน
Read Fix's Story pt.1 in English - https://fatheroflove-thailand.com/article/view/becoming-christian
ผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่นับถือศาสนาพุทธมาก่อน แล้วครอบครัวของผมค่อนข้างเชื่อมั่นในศาสนาพุทธมาก เช่นยายของผมจะไปวัดทุกวันพระเพื่อไปสวดมนต์แล้วก็ไปนอนที่วัด บางวันก็ไปถวายอาหารเที่ยงให้พระเป็นครั้งคราว แล้วยายของผมสามารถไล่ผีได้เพราะทั้งสวดมนต์ได้และยังมีคาถาไล่ผีของตระกูล ยายสอนคาถาบางคาถาให้หลานๆ ด้วยเอาไว้กันผี (ปัจจุบันนี้ผมยังจำได้อยู่เลย แต่ไม่ได้ใช้แล้ว) ส่วนพ่อของผมก็สะสมพระเครื่องหลายสิบองค์ไว้ในบ้าน
ส่วนตัวผมเองก็ค่อนข้างมีความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไม่ต่างจากคนอื่นทั่วๆไปเพราะว่าผมจะชอบฟังเรื่องราวของศาสนาพุทธที่เกี่ยวกับเจ้าชายสิทธัตถะ ถ้าใครจะมาเถียงผมว่าศาสนาอื่นเป็นยังไงผมก็จะเถียงกลับเรื่องศาสนาพุทธว่ามันดียังไงเสมอครับ แล้วผมก็ยังเป็นคนที่ชอบสวดมนต์มาก ฟังๆดูแล้วมันอาจจะเป็นไปได้ยากที่ผมจะเปลี่ยนศาสนา!! แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนศาสนามาเป็นศาสนาคริสต์แล้ว!!!!
เมื่อก่อนผมคิดว่าเฮ้ยผมเปลี่ยนศาวนาแบบเร็วปุ๊ปปั๊ปไปมั้ยเพราะมันดูเร็วไปหมด แต่พอมาคิดดีๆแล้ว ผมไม่ได้เปลี่ยนศาสนาแบบเร็วปุ๊ปป็บไป เพราะเหมือนพระเจ้าได้เตรียมความพร้อมให้ผมก่อนผมเปลี่ยนความเชื่อของตัวเองในหลายๆ แบบผ่านทางหนังแฟนตาซีที่เกี่ยวกับศาสนาเช่นหนังที่เกี่ยวกับแวมไพร์, หนังเดอะคอนเจอริ่ง, แล้วก็อื่นๆ เพราะมันมีความเหนือธรรมชาติมากๆ แล้วทำให้รู้สึกว่าศาสนาคริสต์นี่มันเท่จริงๆนะ มีแต่เรื่องน่าตื่นเต้น มันเลยนำให้ผมรู้สึกชอบดูหนังเกี่ยวศาสนาแนวนี้มากๆ แล้วผมก็ดูหนังแนวนี้มาเรื่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้อะไรกับหนังพวกนั้นมาก
ชีวิตผมเริ่มมาเปลี่ยนจริงๆ ตอนผมเรียนอยู่ประมาณ ม. 2 มันเหมือนเป็นอย่างที่ 2 ที่พระเจ้าได้นำคนของพระองค์มาเตรียมตัวผมให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ของชีวิตนั่นก็คือพระองค์สอนให้ผมรู้จักการอธิษฐานเป็นครั้งแรกผ่านคนที่อยู่ในศาสนาคริสต์วันอาทิตย์ วันนั้นเป็นตอนเย็นหลังเลิกเรียนมันก็เป็นวันปกติวันหนึ่งที่ผมจะไปนั่งเล่นที่สนามกีฬากลางผมเพื่อนั่งดูหนัง, เล่น facebook ใน iPad ของตัวเองอยู่ผมจะชอบไปนั่งอยู่เงียบๆคนเดียวเพราะผมค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูงในเวลานั้น แล้วอยู่ดีๆก็มีพี่ผู้หญิง 2 คน มาคุยกับผมเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ตอนแรกเขาเหมือนกับว่าอยากจะรู้จักผมแล้วอยู่ดีๆเขาก็ชวนผมคุยว่า
“น้องรู้จักไหมคะว่าพระเจ้าคือใคร” แล้วเขาก็พูดต่อว่า “พระเจ้าคือคนที่รักเรามากๆ ถึงเราจะทำบาปกี่ครั้งพระเจ้าก็จะให้อภัยเรา ไม่ว่าเราจะเสียใจแค่ไหนพระเจ้าก็อยู่จะอยู่กับเราพระองค์เป็นคนที่คอยฟัง คอยดูแลเราไม่ว่าเราจะขออะไรจากพระองค์พระองค์ก็จะให้กับเรา น้องเคยขออะไรจากพระองค์มั้ย”
แน่นอนครับผมก็ตอบไปว่า “ไม่เคยครับแต่ว่าขอยังไงหรอครับผมแล้วผมจะรู้ได้ไงว่าผมจะได้หรือไม่ได้”อารมณ์ประมาณนี้
แล้วพี่ผู้หญิง 2 คนนั้นก็เลยพูดขึ้นว่า “งั้นเราลองมาขอดูไหมว่าจะได้รึป่าว” แล้วพี่เขาก็เริ่มอธิษฐานในระหว่างนั้นพี่เขาบอกให้ผมหลับตาสิ่งที่ผมคิดในใจก็คือเฮ้ยโทรศัพท์เราอยู่ข้างนอกกระเป๋า iPad เราก็อยู่ข้างนอกกระเป๋ากระเป๋าเงินเราก็อยู่ข้างนอกกระเป๋า เราอธิษฐานไปแล้วถ้าเขาเป็นมิจฉาชีพของเราจะหายมั้ยเนี่ย! เพราะเราต้องหลับตาด้วยในระหว่างที่พี่ๆเขาอธิษฐาน ดังนั้นผมก็เลยค่อยๆทยอยเก็บของทีละชิ้นๆ เข้ากระเป๋าพอพี่ๆเขาลืมตาขึ้นปั๊บของผมทุกอย่างก็อยู่ในกระเป๋าแล้วเหมือนพี่เขาจะรู้ตัวแต่พี่เขาก็ไม่ได้อะไรเพราะว่ามันอาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนแปลกหน้าที่พึ่งเจอกัน
แล้วพี่ๆเขาบอกผมว่า “พี่แค่อธิษฐานขอให้น้องมีชีวิตที่ดีขึ้นนะคะแต่ถ้าน้องอยากจะขออาอะไรส่วนตัวก็ได้เหมือนกันน้องจะเรียกพระเจ้าว่าพ่อหรือพระบิดาหรืออะไรก็ได้แต่ตอนจบให้พูดคำว่าในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้าอาเมนแค่นั้นเลยนะ”
แล้วหลังจากวันนั้นผ่านไปประมาณ 1-2 วัน ผมก็เจอพี่ๆเขาอีกพี่ๆเขา ก็เลยชวนผมอธิษฐานขอโทษกับพระเจ้าซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันต้องทำยังไงผมก็เลยนั่งหลับตาแล้วก็พูดมั่วๆไป แล้วอยู่ๆ พี่ๆเขาก็ชวนผมว่า “ถ้าสนใจไปโบถส์วันอาทิตย์ก็บอกพี่ได้นะ"
ผมเลยตอบกลับว่า “จริงหรอครับอะไรน่าสนใจนะครับ” พวกเราก็เลยแอดไลน์กันแต่ผมก็ไม่ได้ทักอะไรไปเพราะว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะไปอยู่แล้วตั้งแต่แรก แล้วเมื่อเราแยกย้ายกัน
หลายวันต่อมาตอนเช้าประมาณตีห้าครึ่งผมต้องออกไปนั่งรอรถสองแถวจากบ้านไปโรงเรียนรถสองแถวจะมาทุกๆครึ่งชั่วโมงบางครั้งก็มาสาย แล้วระหว่างที่ผมรออยู่ผมรู้สึกว่ามันรอนานมากๆ ความคิดที่พี่ๆ เขาเคยพูดไว้เรื่องขออะไรก็ได้จากพระเจ้า มันเด้งขึ้นมาในหัวผมๆเลยงั้นลองดู แต่ผมก็คิดว่า “มันอาจจะไม่มาจริงหรอกเพราะว่าคริสเตียนน่ะนะมันเป็นเรื่องไร้สาระ การอธิษฐานอะไรพวกนี้มันคงไม่จริงหรอกเพราะว่าเราดูหนังมาเยอะแล้วเราก็เข้าใจว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติมันไม่เกิดจริงหรอก” แต่ผมก็อธิษฐานเล่นๆว่า “พระเจ้าครับผมนั่งรอรถมานานมากผมอยากให้รถสองแถวที่ผมรออยู่มาถึงเร็วๆในนามพระเยซูคริสต์เจ้าอาเมน”
พอผมลืมตาขึ้นเท่านั้นแหละครับรถสองแถวก็มาพอดีผมก็คิดว่า “มันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นแหละเพราะว่าเรารอตั้งนานแล้วไง รถมันก็ต้องมาถูกป่ะ” ผมก็คิดอะไรไปทำนองนั้น
วันต่อมาผมคิดว่าถ้าทำแล้วมันคงไม่ได้ผลอีกหรอก ผมก็เลยอธิษฐานอีกรอบนึงเรื่องเดิมว่า “พระเจ้าครับผมรอรถสองแถวอยู่นะครับผมอยากจะให้พระเจ้าทำให้รถสองแถวมาถึงเร็วๆด้วยในนามพระเยซูคริสต์เจ้าอาเมน”พอผมลืมตารถสองแถวก็มาอีก แล้วผมก็คิดไปเองว่าเอ้ยวันนี้ก็โชคดีเฉยๆหรอกไม่ได้เกี่ยวอะไรไม่ได้คำฮธิษฐาน แล้วผมก็เลยปล่อยไปวันนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไร
แต่พอวันต่อมาฝนเริ่มลงเม็ดเบาๆ แล้วผมต้องรอรถสองแถวผมเลยคำอธิษฐานของผมไปอีกอย่างนึงว่า “พระเจ้าครับขอพระองค์ทรงทำให้ฝนหยุดด้วยนะครับแล้วก็รถสองแถวมาเร็วๆด้วยในพระนามพระเยซูอาเมน” แล้วอยู่ดีๆฝนก็หยุดแล้วรถสองแถวกก็ขับมา
หลังจากนั้นผมก็ทำเหมือนมันเป็นเรื่องปกติโดยการที่ผมพูดกับพระเจ้าหรือขออะไรก็ตามที่ผมอยากได้แล้วก็จบด้วยในนามพระเยซูคริสต์เจ้าอาเมนบางครั้งก็ได้บ้างบางครั้งก็ไม่ได้บ้างแต่ส่วนมากจะได้แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นในศาสนาพุทธอยู่
แล้วหลังจากนั้นชีวิตผมก็เป็นอะไรประมาณนี้ไปเรื่อยๆแต่ก็อธิษฐานบ้างเป็นประปรายจนกระทั่งผมขึ้นม.ปลาย จนได้เจอเพื่อนคนนึงชื่ออันดรูว์ ผมรู้แค่ว่าเขาเป็นคนคริสเตียนเขาพยายามเถียงเรื่องคริสเตียนกับเพื่อนในห้องแต่เพื่อนก็รักเขาดีนะครับและดูเป็นคนนึงที่ไม่ว่าผมจะทำไม่ดีแค่ไหนเขาก็ยังเป็นเพื่อนผม ก็ยังคุยกับผมอยู่ แล้วเราก็เป็นเพื่อนกันแต่ผมก็ไม่ได้สนิทด้วย
แต่อยู่ๆอะไรโดนใจให้อันดรูว์มาชวนผมไปเที่ยวหินช้างสีด้วยก็ไม่รู้ แล้วผมก็อยากไปเที่ยวอยู่พอดีผมก็เลยตอบไปว่า “งั้นก็ไปดิ ไปวันไหนอ่ะ อันดรูว์ก็บอกว่า “จะไปวันเสาร์นี้ตอนบ่าย แต่ด้วยความที่เป็นผมๆคิดว่าเอ้ย จะต้องให้ไปช่วยเตรียมอะไรด้วยหรือป่าว ผมก็เลยไปตั้งแต่ 10:00 น พร้อมกับกางเกงขาสั้นรองเท้าผ้าใบเสื้อยืดรองเท้าไปเข้าโบสถ์ในวันนั้นเพราะผมไม่รู้ว่ามันจะมีโบสถ์
ช่วงที่ผมไปเข้าโบสถ์ผมรู้สึกว่าเฮ้ยที่นี่ทำไมทุกคนแลดูมีความสุขจังเลยมาที่นี่ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับผมด้วยความอบอุ่นมากนะ ถึงแม้ว่าผมจะแต่งตัวไม่ถูกกาละเทศะก็ตามแต่พวกเขาก็ยังต้อนรับผม ผมเลยรู้สึกดีใจมากๆแล้ว สรุปแล้วผมก็ไปเข้าโบสถ์ก่อนแล้วตอนบ่ายก็ไปเข้าพาสไฟเดอร์กับเขาแล้วก็ค่อยไปที่หินช้างสี
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือตอนก่อนจะกลับเราก็จะมนัสการปิดวันสะบาโตที่หน้าผาพวกเห็นแล้วว่าฝนมันกำลังตกและเคลื่อนตัวใกล้มาทางเราแต่อยู่ๆ มันก็เลี้ยวข้างไปจากพวกเราโดนที่ผมไม่ได้รู้สึกตัวอะไรจนมีพูดขึ้นมา หลังจากนั้นพอผมได้เห็นได้รู้อะไรที่ว่าที่โบถส์นี้พิเศษกว่าที่เพราะมันไม่ใช่แค่โบถส์สำหรับผม แต่มันทำให้รู้สึกถูกเติมเต็มสิ่งที่หายไปจากชีวิตของผม
หลังจากนั้นผมก็เลยไปโบสถ์ทุกๆเสาร์ และทุกวันเลยทั้งๆที่ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำไม ผมรู้สึกแค่ว่าอยากไปเจอเพื่อนอยากไปนั่งเล่นกับเพื่อนแต่สิ่งนั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าผมทำแล้วผมมีความสุขเหมือนผมอยู่ในที่ที่เป็นของผม ในที่ที่ทุกคนรักผมแล้วผมก็รู้สึกว่าไม่ว่าผิดแค่ไหนทุกคนก็จะพยายามให้อภัยและสอนผมให้รู้จักสิ่งที่ถูกต้อง
แล้วหลังจากนั้นผมก็มาโบสถ์ในทุกๆวันไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้องผมก็ไปโบสถ์ ( อ้อลืมบอกไปว่าตอนนั้นผมมีมอเตอร์ไซค์แล้วนะครับตอนม.ปลาย ผมเลยสามารถมาโบสถ์ได้ด้วยตัวเองแล้วก็จะกลับตอนไหนก็ได้ ) หลายๆครั้งพ่อก็จะชอบดุว่าไปทำไมมันไม่ได้มีสาระอะไรแต่ผมรู้สึกว่าที่นั่นมีค่าสำหรับผมมากๆผมเลยพยายามที่จะไปที่นั่นเกือบทุกวันไปนั่งเล่นไปนั่งคุยกับแม่ของอันดรูว์บ้างพ่อของอันดรูว์บ้างแล้วก็พยายามไปโบสถ์ทุกเสาร์และนี่แหละครับเรื่องราวก่อนที่ผมจะเป็นคริสเตียน
เรื่องราวของผมอาจจะฟังดูเกินจริงนะครับแต่แค่บางส่วนมันยังเกินจริงขนาดนี้แล้วถ้าผมเล่าทั้งหมดให้ฟังมันจะสนุกขนาดไหน!!!!!
วิดีโอนี้บันทึกไว้เมื่อสี่ปีที่แล้ว