เชื่อในคำสัญญาของใคร
เชื่อในคำสัญญาของใคร Trusting in whose promises?
EJ Waggoner
ผู้หนึ่งที่กำลังจมอยู่กับความทุกข์โศกได้เขียนไว้ว่า: “-ข้าพเจ้าคุกเข่าและทูลขอให้พระเจ้าทรงอภัยให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์จะทรงอภัยให้และข้าพเจ้าก็สัญญากับพระองค์ว่าจะไม่ทำอีก แต่หลังจากผ่านไปได้ไม่กี่วัน การทดลองก็เกิดขึ้นอีกครั้งและข้าพเจ้าก็พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า”
Someone in distress has written: “I go on my knees and implore God’s forgiveness. I realize that He has forgiven me, and I promise Him that I will never do it again; but alas, after a few days the temptation comes again, and again I yield.”
ประสบการณ์ของท่านเป็นเหมือนกับคริสเตียนผู้สัตย์ซื่อจำนวนหลายพันคน แต่นั่นไม่ใช่ประสบการณ์คริสเตียนที่แท้จริงเพราะว่าไม่ใช่ประสบการณ์ของพระเยซูคริสต์ พระองค์ “ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังทรงปราศจากบาป” (ฮีบรู 4:15) ไม่ใช่เพราะพระองค์ทรงมีลักษณะแตกต่างจากเรา “บุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อเช่นกันอย่างไร พระองค์ก็ทรงมีส่วนเช่นนั้นด้วยอย่างนั้น” และพระเยซูทรง “เป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง” (ฮีบรู 2:14, 4:17)
Your experience is that of many thousands of sincere Christians, but it is not real Christian experience, because it is not the experience of Christ. He “was in all points tempted like as we are, yet without sin.” It was not because He was of a different nature from us, for in as much as the children were partakers of flesh and blood, “He also Himself likewise took part of the same” (Heb. 4:15; 2:14), and in all things was “made like unto His brethren” (vs. 17).
เช่นเดียวกับท่าน “ในระหว่างที่พระคริสต์ทรงประทับในโลก (แปลได้อีกว่า ขณะที่พระคริสต์ทรงมีสภาพมนุษย์อยู่นั้น) พระองค์ทรงถวายคำอธิษฐาน และคำร้องขอด้วยเสียงดังและน้ำพระเนตรไหลต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และโดยความยำเกรงของพระคริสต์ พระเจ้าทรงสดับฟัง
Like you He, “in the days of His flesh,” “offered up prayers and supplications with strong crying and tears unto Him that was able to save Him from death,” and He “was heard in that He feared” (5:7).
พระเยซูทรงวางใจในพระเจ้าโดยไม่ใช่ในตัวพระองค์เอง คำตรัสของพระเยซูคือ “ข้าพเจ้าเจิมพระยาห์เวห์ไว้ตรงหน้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับที่ขวามือ ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว” (สดุดี 16:8)
He trusted in God, not in Himself. His words were, “I have set the Lord always before Me; because He is at My right hand, I shall not be moved” (Psalm 16:8).
แทนที่จะสัญญากับพระเจ้าว่าท่านจะไม่พ่ายแพ้อีก ท่านต้องพึ่งพาในพระสัญญาของพระองค์ที่จะไม่ทำอีก ความผิดพลาดของคุท่านคือ การไว้วางใจในสัญญาของตนเองแทนพระสัญญาของพระเจ้า โดยทางแห่ง “พระสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่า” ของพระเจ้า เราจึง “พ้นจากความเสื่อมทรามที่มีอยู่ในโลกอันเกิดจากความปรารถนาชั่ว และจะมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า” (2 เปโตร 1:4)
Instead of promising the Lord that you will not yield again, you must take His promise that you shall not. Your mistake has been in trusting your own promises instead of the Lord’s promise. It is by the “exceeding great and precious promises” of the Lord that we are made “partakers of the divine nature, having escaped the corruption that is in the world through lust” (2 Peter 1:4).
“พระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ” (ฮีบรู 10:23) “เพราะว่าพระสัญญาต่างๆ ของพระเจ้าล้วนแต่เป็นความจริงโดยพระเยซู เพราะเหตุนี้เราจึงพูดว่า อาเมน โดยพระองค์ ซึ่งเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” (2 โครินธ์ 1:20) คำสัญญาของเราไม่สามารถเพิ่มเติมอะไรแก่พระสัญญาของพระเจ้าได้ นอกจากคำสัญญาทั้งสิ้นของเราจะไม่จำเป็นแล้ว มันยังเป็นอุปสรรคอีกด้วย เราสัญญาว่าเราจะไม่ทำสิ่งชั่วร้ายอีกต่อไป แต่คำสัญญาอย่างนี้กำลังหมายความว่าเราพึ่งพากำลังของตัวเอง ในความเป็นจริงอำนาจเป็นของพระเจ้าเท่านั้น และความเข้มแข็งของเราก็คือการที่เราตระหนักถึงสิ่งนั้น
“He is faithful that promised” (Heb. 10:23), for “all the promises of God in Him are yea, and in Him Amen, and to the glory of God by us” (2 Cor. 1:20). Our promises can add nothing to God’s promise; they are not only wholly unnecessary, but they are a hindrance. We promise that we will not do the evil thing any more, but that very promise implies the supposition of strength on our part, whereas power belongs only to God, and our strength is in recognizing that. (EJW)