Fatheroflove-thailand

เรื่องราวจากคนเกือบตาย

โพสต์ พฤษภาคม 07, 2025 โดย Fix ใน คำพยาน
12 มีคนดู

ตอนที่ 1: เรื่องราวก่อนผมจะเป็นคริสต์เตียน

ทุกคนเคยเกือบตายมาก่อนหรือเปล่าครับ? ผมเคยครั้งหนึ่ง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังผมได้เชื่อในพระเยซูแล้ว จนยอมสละทุกอย่างเพื่อรักพระเจ้ามากขึ้น แม้กระทั่งอยากรับบัพติสมาด้วย

ในช่วงชีวิตที่ผมได้มาเชื่อในพระเยซูและไปโบสถ์ทุกเสาร์ ชีวิตผมรู้สึกเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ผมไม่เคยทำ อย่างเช่น ไปเข้าค่าย ก็เป็นค่ายที่มีแต่เรื่องมากมายเกิดขึ้น ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนมากขึ้นและเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่ออะไรบางอย่างมากขึ้น แล้วค่ายที่ทำนั้นมันทำให้ผมรู้สึกอยากที่จะไปอีก ถึงแม้ว่าในค่ายนั้นจะไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากมาย แต่เป็นค่ายที่รู้สึกว่าเราไปกับครอบครัวมากกว่า เราไปกับครอบครัวจริงๆ ของเราซะอีก

ผมต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับศาสนาจารย์ท่านหนึ่งเลยนะครับ เพราะว่าท่านเป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกว่า การไปค่ายครั้งนั้นไม่ได้เหมือนไปค่าย แต่เหมือนไปตั้งแคมป์กับครอบครัว มันทำให้ผมรู้สึกว่าท่านเป็นพ่อและภรรยาของท่านเป็นแม่ของพวกเราจริงๆ ครับ สิ่งนี้มันทำให้เห็นว่าวัยรุ่นหลายๆ คนเขาไม่ได้ต้องการคนที่ไปประกาศ แต่เขาต้องการคนที่อยากจะเป็นครอบครัวกับเขาจริงๆ คนที่จะสามารถคุยได้กับเขาทุกเรื่อง ผมเลยอยากจะขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่วันนั้นอันดรูว์ได้ชวนผมไปตั้งแคมป์ด้วย

หลังจากนั้น ไม่ว่าจะมีตั้งแคมป์ที่ไหน ผมก็ไปด้วยตลอด ถึงแม้ว่าพ่อผมจะว่าผมยังไง ผมก็พยายามเก็บเงินแล้วก็ไปอยู่ดีครับ

แล้วมันก็มีอยู่หนึ่งเสาร์ ที่หัวหน้าบรรณกรของโบสถ์เรามาเยี่ยมที่โบสถ์ขอนแก่น เพื่อมานำทีมประกาศผ่านทางการขายหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ในเวลาหนึ่งสัปดาห์นั้น พวกผมก็เดินทางทั่วขอนแก่นเพื่อที่จะไปขายหนังสือ ซึ่งในทุกๆ ครั้งที่เราขายได้ เราจะขอเขาอธิษฐานเผื่อพวกเขา ให้พวกเขาได้รู้จักกับพระเจ้า แล้วนั่นล่ะครับ เป็นเวลาที่ทำให้ผมได้รู้สึกว่าผมได้เห็นคนที่มีความทุกข์จริงๆ เขาได้เล่าเรื่องราวชีวิตให้ผมฟังอย่างมากมายเกี่ยวกับชีวิตที่น่าเศร้าของพวกเขา

ตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้าดีมาก แต่ผมก็อธิษฐานเผื่อพวกเขา ทำให้ผมรู้สึกว่า อย่างน้อยผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเขามีความสุขได้ แม้เพียงแค่นิดนึงก็ดีแล้ว วันสุดท้ายของการทำประกาศขายหนังสือนั้น ผมก็เลยได้รับเชื่อในพระเยซูอย่างเต็มที่ โดยการให้ศาสนาจารย์ที่โบสถ์อธิษฐานล้างบาป แล้วก็ขอโทษพระเจ้า

หลังจากนั้น ผมก็รู้สึกว่าผมมีชีวิตที่ดีขึ้น และผมรู้สึกพร้อมที่จะทำงานเพื่อพระเจ้าจริงๆ แล้ว แต่ตอนเวลานั้นผมยังไม่ได้รับบัพติสมา แต่ผมรู้สึกพร้อมที่จะทำงานประกาศจริงๆ แล้ว หลังจากนั้นผมก็แชร์เรื่องราวพระเจ้าให้กับหลายๆ คน แล้วผมก็หาวิธีมากมายในการทำประกาศ ไม่ว่าจะผิดพลาดกี่ครั้ง พาคนมาโบสถ์ได้กี่ครั้ง แต่เขาก็ต้องจากไปเพราะว่าความผิดพลาดของผม ความที่ผมยังไม่พร้อมที่จะเป็นคนที่รักพระเจ้ามากพอที่จะสละความรักโลก โกรธ หลงของทางโลกไป

ผมก็เลยพยายามที่จะปรับตัวใจและเป็นคนที่เห็นแก่ตัวน้อยลง แล้วก็พยายามฟังคนอื่นให้มากขึ้นและเข้าใจคนอื่นให้มากขึ้น หลังจากนั้น เพื่อนรอบๆ ตัวผมก็โอเคขึ้น เด็กๆ ที่ผมพาไปโบสถ์ก็รักในการมาโบสถ์มากขึ้น บางครั้งการยอมรับความผิดพลาดของตัวเองก่อนไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี

หลังจากนั้นเยาวชนมาโบสถ์ แต่พวกเขาก็ยังจากไปอยู่ดี ผมก็เลยเริ่มสงสัยตัวเองแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนกระทั่งผู้อำนวยการโรงเรียนพีทมิวสิคคนก่อนได้บอกผมว่า "ฟิก การทำประกาศแต่ไม่อธิษฐานมันก็ไม่มีพลังมากพอนะเว้ย เพราะว่าสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เขาเปลี่ยนชีวิตได้ ไม่ใช่แค่การทำประกาศ แต่เป็นการอธิษฐานเผื่อพวกเขาทุกคนเลยนะเว้ย นั่นน่ะมีพลังมากกว่าที่เราไปพาคนอื่นมาโบสถ์อีก"

ราจึงอธิษฐานเพื่อพวกท่านเสมอ ขอพระเจ้าของเราทรงให้ท่านเป็นผู้ที่สมควรแก่การทรงเรียกนั้น และขอพระองค์ทรงให้ความตั้งใจดีทุกประการ และกิจการแห่งความเชื่อทุกอย่างสำเร็จด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ เพื่อพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะได้รับพระเกียรติเพราะท่านทั้งหลาย และท่านจะได้รับเกียรติเพราะพระองค์ ตามพระคุณแห่งพระเจ้าของเรา และแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า

2 เธสะโลนิกา 1:11-12

ผมก็เลยพยายามอธิษฐานมากขึ้นมากขึ้น พยายามสนิทกับพระเจ้าให้ได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่การขอ แต่มันเป็นการพูดคุยสัพเพเหระหรือปรึกษาเรื่องต่างๆ ด้วยเช่นกัน

มีอยู่เสาร์หนึ่งที่มีคนชวนผมไปแข่งกีฬาแบดมินตัน จะบอกว่าแบดมินตันเนี่ย มันเป็นสิ่งหนึ่งที่มันไม่ใช่แค่กีฬาที่ผมชอบ แต่กีฬานี้มันเปรียบเสมือนชีวิตของผมเลยครับ มันอาจจะเป็นรูปเคารพอย่างหนึ่งที่ผมกำลังเคารพมันอยู่ก็ได้นะ

ตอนนั้นผมก็เลยพยายามว่า "พระเจ้าขอผมอยากไปแข่งกีฬามากๆ ขอไม่ไปโบสถ์หนึ่งเสาร์นะครับ" ผมทำแบบนี้โดยที่ผมคิดว่ามันไม่น่ามีอะไร แล้วผมก็ไปแข่งวันเสาร์นั้น

ผมขอบคุณพระเจ้ามากๆ เลยนะครับที่สามารถดึงผมไว้จนผมแข่งจบ แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ ปอดเป็นตะคริวจนหายใจไม่ออก ในเวลานั้นผมนึกว่าผมจะเสียชีวิตแล้ว เพราะว่าหายใจยังไงก็หายใจไม่ได้ กล้ามเนื้อปอดมันจุกอก หายใจเข้าไม่ได้ หายใจออกไม่ได้ จนสุดท้ายผมต้องไปหาซุ้มพยาบาลให้เขาช่วย ก็พยายามอยู่หลายนาทีจนการหายใจเริ่มดีขึ้น

'แล้วในวันนั้นเราจะกริ้วต่อเขา และจะทอดทิ้งเขาและซ่อนหน้าของเราจากเขา พวกเขาจะถูกกลืน และเผชิญสิ่งร้ายและความลำบากมากมาย ในวันนั้นเขาจะกล่าวว่า ‘เราเผชิญสิ่งร้ายเหล่านี้ เพราะพระเจ้าไม่สถิตท่ามกลางเราไม่ใช่หรือ?’ '

เฉลยธรรมบัญญัติ 31:17

วันนั้นมันเหมือนพระเจ้ากำลังบอกอะไรผมบางอย่างว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เราทิ้งพระเจ้า พระเจ้าก็จะทิ้งเราด้วยเช่นกัน พอเกิดเรื่องตะคริวขึ้น มันเลยทำให้ผมรู้ว่า ถ้าผมไม่มีพระเจ้าอยู่ ผมคงจะตายจริงๆ แล้วก็ได้ครับ เพราะเวลาที่ผมเริ่มเหนื่อยจากการหายใจไม่ออก ผมนึกถึงพระเจ้าแล้วบอกว่า "พระเจ้าผมขอโทษนะครับ ได้โปรดช่วยผมด้วย" และหลังจากนั้นอาการผมก็ดีขึ้น

หลังจากนั้น ทำให้ผมอยากจะไปเข้าโบสถ์มากๆ และไม่กล้าที่จะพลาดวันสะบาโต ผมจะพยายามไปโบสถ์ให้ได้เกือบทุกสะบาโต

หลายวันต่อมา ผมและเพื่อนๆ พากันไปแข่งดนตรีที่กรุงเทพฯ โดยพ่อและแม่ของอันดรูว์เป็นคนพาพวกเราไป ระหว่างทางกลับ วันที่ผมกำลังกลับจากกรุงเทพฯ อยู่ดีๆ อาจารย์หรือพ่อของอันดรูว์ได้เปิดประเด็นว่า "ฟิก พ่อเห็นศักยภาพของเรานะ พ่อเชื่อว่าเราสามารถเป็นศาสนาจารย์ที่ดีได้ ถ้าฟิกสนใจ พ่อจะหาวิธีช่วยส่งไปเรียนที่มหาลัยนะ"

ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าศาสนศาสตร์คืออะไรครับ แล้วศาสนาจารย์คืออะไร ผมยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่แล้วครับ เพราะว่าตอนนั้นผมแทบจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับ SDA เลย แล้วพ่อของอันดรูว์ก็ได้อธิบายเพิ่มเติมจนผมเข้าใจว่า เรียนศาสนศาสตร์คือการศึกษาเกี่ยวกับศาสนาคริสต์และหลักข้อเชื่อของมัน เพื่อมาเป็นอาจารย์สอนพระคัมภีร์และเรียกว่าศาสนาจารย์นี่เอง

แล้วมันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า เราจะเอาไงดี นี่มันเหมือนเป็นทางแยกของชีวิตเลยนะ ผมก็เลยตอบไปว่า "งั้นผมขอกลับไปคิดก่อนนะครับ" ผมก็เลยอธิษฐาน และสุดท้ายผมก็ได้ข้อสรุปว่า มันคงเป็นทางที่ผมต้องเดินจริงๆ สินะ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะสามารถทำให้ผู้คนมากมายได้พบกับความสุขที่แท้จริงได้ในอนาคต

แล้วหลังจากนั้น ผมก็ตอบตกลงไปว่า "ครับ ผมตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนศาสนศาสตร์" แล้วผมก็เริ่มเรียนหลักข้อเชื่อกับอาจารย์เพื่อเตรียมตัวไปเรียนที่สถานศึกษาครับ แต่ผมก็เรียนหลักข้อเชื่อไม่ได้ครบถ้วนมาก เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างก็เข้าใจยากมากจริงๆ ครับ เมื่อเราเรียนครั้งแรก แต่พอเริ่มอยู่ๆ ไปเริ่มเข้าใจมากขึ้น ผมก็มีกำลังใจในการทำประกาศมากขึ้น

แล้วหลังจากนั้นอีกไม่นาน เวลาที่ผมจะรับบัพติสมาถึง หลังจากที่ผมรับบัพติสมาชีวิตผมก็เปลี่ยนไปจนสิ้นเชิง ผมไม่รู้ว่าเป็นการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ เพราะจากคนที่อยู่แต่ในห้องเวลาที่อยู่บ้าน เริ่มรู้สึกอยากออกมาหาครอบครัว ออกมาคุยกับครอบครัว เริ่มรู้สึกเป็นห่วงหลายๆ คนมากขึ้น เริ่มรู้สึกอยากช่วยเหลือทุกคนให้ได้รู้จักกับพระเจ้า

และทุกคนก็มองเห็นผมเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย จนทุกคนมองว่า เกิดอะไรขึ้นกับผม เพราะปกติผมจะไม่ออกมาจากห้อง แต่อยู่ดีๆ ผมก็เดินออกมาจากห้องมาคุยกับทุกคนในบ้าน มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับทุกคนในบ้านมากๆ ครับ

'อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์ '

1 ทิโมธี 4:12