ความเชื่อของพระเยซู (จาก"แบบแผนแห่งพระพร")
พระเยซูถูกข่มเหงเพราะพระองค์ทรงประกาศว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ซึ่งมีกล่าวในหนังสือดังข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้
- ยอห์น 10:36 “พวกท่านจะกล่าวหาผู้ที่พระบิดาทรงตั้งไว้เป็นพิเศษและทรงใช้เข้ามาในโลกว่า ‘ท่านกล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า’ เพราะเรากล่าวว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’ อย่างนั้นหรือ”
- ยอห์น 19:7 “พวกยิวตอบท่านว่า ‘เรามีกฎหมาย และตามกฎหมายนั้นเขาสมควรตาย เพราะเขาตั้งตัวเป็นพระบุตรของพระเจ้า’”
- มัทธิว 26:63 “แต่พระเยซูทรงนิ่งอยู่ ท่านมหาปุโรหิตจึงกล่าวว่า ‘เราให้เจ้าสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราว่าเจ้าเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่’”
- ลูกา 22:70 “พวกเขาทุกคนจึงถามว่า ‘เจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้าหรือ’ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า ‘ก็ท่านพูดแล้วว่าเราเป็น’”
- มัทธิว 27:40 “ว่า ‘เจ้าเป็นคนที่จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นภายในสามวันนี่นา จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด’”
- มัทธิว 27:54 “แต่นายร้อยและพวกทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ก็กลัวอย่างยิ่ง จึงพูดกันว่า ‘ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ’”
และนี่คือความเชื่อเดียวที่ทำให้เรารอด
- ยอห์น 3:16,18 “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์… 18 คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
- ยอห์น 20:31 “แต่การที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์”
- 1 ยอห์น 5:10-13 “คนที่เชื่อพระบุตรของพระเจ้าก็มีพยานอยู่ในตัว คนที่ ไม่เชื่อพระเจ้าก็ทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา เพราะเขาไม่ได้เชื่อคำพยานที่พระเจ้าทรงเป็นพยานอ้างถึงพระบุตรของพระองค์ และพยานหลักฐานนั้นก็คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ คนที่มีพระบุตรก็มีชีวิต คนที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลายที่วางใจในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อให้ท่านรู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์ และเพื่อท่านจะได้เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า”
- ยอห์น 5:25 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า เวลากำหนดนั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนตายจะได้ยินเสียงพระบุตรของพระเจ้า และบรรดาคนที่ได้ยินจะมีชีวิต”
เหตุผลหลักประการหนึ่งที่ซาตานได้ต่อสู้อย่างหนักเพื่อปกปิดความจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพระคริสต์กับพระบิดา เป็นเพราะมันส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อวิธีที่เราสัมพันธ์กับพระบิดา พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยในพระวจนะของพระองค์ว่าความรอดของเราขึ้นอยู่กับการที่เรามี “ความเชื่อของพระเยซู”
- Galatians 2:16 “Knowing that a man is not justified by the works of the law, but by the faith of Jesus Christ, even we have believed in Jesus Christ, that we might be justified by the faith of Christ, and not by the works of the law: for by the works of the law shall no flesh be justified.”
กาลาเทีย 2:16 (Thai KJV) “ก็ยังรู้ว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้โดยการกระทำแห่งพระราชบัญญัติ แต่โดยความเชื่อแห่งพระเยซูคริสต์ คือพวกเราเองก็ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เพื่อพวกเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อแห่งพระคริสต์ และไม่ใช่โดยการกระทำแห่งพระราชบัญญัติ เพราะว่าโดยการกระทำแห่งพระราชบัญญัตินั้น ‘ไม่มีเนื้อหนังใด ๆ จะเป็นคนชอบธรรมได้เลย’”
- Romans 3:21-22 “But now the righteousness of God without the law is manifested, being witnessed by the law and the prophets; 22 even the righteousness of God which is by faith of Jesus Christ unto all and upon all them that believe: for there is no difference:”
โรม 3:21-22 “แต่เดี๋ยวนี้ความชอบธรรมของพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือธรรมบัญญัติ ความชอบธรรมดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันจากหมวดธรรมบัญญัติและพวกผู้เผยพระวจนะ คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งปรากฏโดยความเชื่อใน[แห่ง]พระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ โดยไม่ทรงถือว่าเขาแตกต่างกัน”
- Philippians 3:9 “And be found in him, not having mine own righteousness, which is of the law, but that which is through the faith of Christ, the righteousness which is of God by faith:”
ฟิลิปปี 3:9 “และจะได้เห็นว่าข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมที่ได้มาจากธรรมบัญญัติ มีแต่ที่ได้มาโดยความเชื่อใน[ของ]พระคริสต์ คือความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้าโดยความเชื่อ”
- Revelation 14:12 “Here is the patience of the saints; here are those who keep the commandments of God and the faith of Jesus.”
วิวรณ์ 14:12 “นี่แหละคือความทรหดอดทนที่พวกธรรมิกชนจะต้องมี คือพวกที่ถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า และจงรักภักดีต่อพระเยซู” การแปลนี้ไม่ดี นี่คือข้อเดียวกันในฉบับ KJV:
นี่คือความอดทนของพวกวิสุทธิชน นี่คือคนทั้งหลายที่รักษาบรรดาพระบัญญัติของพระเจ้า และความเชื่อนั้นของพระเยซูไว้
เราจะเห็นได้ว่าทำไมซาตานไม่ต้องการให้เราเข้าใจความเชื่อที่พระเยซูทรงมี ซึ่งคือความเชื่อที่พระองค์ทรงปรารถนาจะประทานแก่เรา มันยังสูญหายไปในการแปลหลายฉบับ ความเชื่อที่พระเยซูทรงมีคือความเชื่อที่พระองค์ทรงมีในพระบิดา ความเชื่อของพระเยซูในพระบิดาทำให้เรารักและวางใจในพระเจ้าและต้องการทำตามพระบัญญัติของพระองค์ ความเชื่อนี้ของพระเยซูในพระบิดา มารซาตานไม่ต้องการให้เราได้รับ เพราะมันนำไปสู่ ความชอบธรรม และชีวิตที่นิรันดร์อย่างแน่นอน
แล้ว “ความเชื่อของพระเยซู” คืออะไร คำตอบคือ มันเป็นความไว้วางใจ ความชื่นชมยินดี และความสุขใจอย่างเต็มที่ในการทำตามพระประสงค์ของพระบิดาสม่ำเสมอ
ยอห์น 5:30 “เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไรเราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเราไม่ได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของผู้พระบิดาทรงใช้เรามา”
ยอห์น 12:49-50 “เพราะเราไม่ได้กล่าวตามใจเราเอง แต่พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาเป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไรหรือพูดอะไร เรารู้ว่าพระบัญญัติของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบอกเรา”
ยอห์น 14:10 “… คำซึ่งเรากล่าวกับพวกท่านนั้น เราไม่ได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้สถิตอยู่ในเราทรงทำพระราชกิจของพระองค”
ยอห์น 6:38 “เพราะว่าเราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา”
ยอห์น 7:16-18 “… คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของผู้ทรงใช้เรามา ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้าหรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง ใครที่พูดตามใจชอบเองย่อมแสวงหาเกียรติสำหรับตนเอง แต่คนที่แสวงหาเกียรติให้ผู้ที่ใช้ตนมา คนนั้นเป็นคนจริง ไม่มีอธรรมในตัวเขาเลย”
ให้สังเกตความแตกต่างโดยตรงระหว่างความเชื่อของพระเยซูกับวิธีที่ซาตานดำเนินการ ซึ่งมีกล่าวในหนังสือดังข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้
ยอห์น 8:44 “พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง [มันกล่าวตามใจมันเอง] เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา”
พระเจ้าทรงเป็นแหล่งที่มาแห่งความจริงเพียงแหล่งเดียว ซึ่งพระองค์ทรงประทานแก่เราโดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์ แต่ซาตานปฏิเสธแบบแผนของพระเจ้านี้ มันเริ่มที่จะพูด จากแหล่งที่มาของตัวมันเอง/มันกล่าวตามใจมันเอง ซึ่งสามารถสร้างได้เฉพาะสิ่งที่อยู่นอกกรอบแห่งความจริงเท่านั้น ดังนั้นมันจึงกลายเป็นพ่อของการมุสา ตั้งแต่วินาทีนั้นมาจนถึงตอนนี้ ซาตานพูดจากตัวมันเอง แสวงหาความรุ่งโรจน์ของตัวเอง ไม่มีความชอบธรรมและไม่มีความจริงในตัวมัน มันยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมชายและหญิงว่าพวกเขาสามารถพูดจากตัวเองได้เช่นกัน และสร้างความจริงและความชอบธรรมนอกเหนือจากพระเจ้า ความคิดนี้ตรงข้ามกับความเชื่อของพระเยซูโดยตรง
ความเชื่อของพระเยซูคือการรู้ว่าจากตัวเราเองเราไม่สามารถทำความดี ไม่ทำความจริง ไม่ทำชีวิตได้เอง แต่ความประเสริฐทั้งปวงล้วนมาจากแหล่งกำเนิดที่แท้จริง เท่านั้น นั่นคือพระบิดา และเนื่องจากพระเยซูทรงเป็นช่องทางที่กำหนดไว้สำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เราได้รับทุกสิ่งจากพระบิดา โดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์ ความดีที่เราเห็นบนโลกนี้เกิดจากการที่เราตอบสนองต่อพระวิญญาณของพระคริสต์
การเข้าใจแบบแผนของพระเจ้าและความเป็นจริงของความสัมพันธ์แหล่งกำเนิด/ช่องทางนี้ในชีวิตของเราเองเป็นหนทางเดียวที่เราจะยอมรับว่าเราไม่มีอำนาจในการช่วยตัวเองให้พ้นจากความเป็นทาสของบาปได้ และมาหาพระเยซูเพื่อรับเอาชีวิตแห่งชัยชนะที่พระบิดาทรงประทานให้โดยพระองค์
เอเฟซัส 1:3 “จงถวายสรรเสริญแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงโปรดประทานพรฝ่ายวิญญาณแก่เราทุก ๆ ประการในสวรรคสถานโดยพระคริสต์”
https://fatheroflove-thailand.com/book/view/blueprint-of-blessing-thai
Get the book Blueprint of Blessing in English