พระเจ้าทรงสร้างสิ่งชั่วร้ายจริงหรือ (อิสยาห์ 45:7)
English version: https://lastmessageofmercy.com/article/view/isaiah-457-did-god-create-evil
พระเจ้าทรงสร้างสิ่งชั่วร้ายจริงหรือ (อิสยาห์ 45:7)
“เราปั้นความสว่างและสร้างความมืด เราทำสันติภาพและสร้างวิบัติ เราคือพระเยโฮวาห์ ผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น” (อิสยาห์ 45:7)
พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย” (1 ยอห์น 1:5) ตั้งแต่ตอนแรก ที่ยังไม่มีความมืดมิดในพระเจ้า แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร ที่ความมืดจะถูกทำให้เกิดขึ้นโดยพระองค์? ที่จะเป็นไปได้ก็คือความมืดเกิดจาก การที่พระเจ้าได้ลบความสว่างแห่งพระสิริของพระองค์เอง โดยความมืดมิดนั้นคือการที่ขาดจากความสว่าง ดังนั้น การขาดความสว่างจึงเป็นเหตุให้มีความมืดนั่นเอง ก็เหมือนกันกับความร้อนกับความเย็น ความเย็นจะไม่มีถ้าหากความร้อนไม่ปรากฏ ความมืดและความเย็นไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เลย แต่ถ้าคุณนำแสงสว่างและความร้อนออกไป เมื่อนั้นความมืด และความเย็นจะปรากฏ
พระเยซูสอนว่า พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงด
“เมื่อพระองค์กำลังเสด็จออกไปตามทาง มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก” พระเยซูตรัสถามคนนั้นว่า “ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว” (มาระโก 10:17, 18)
แล้วพระเจ้าผู้ประเสริฐของเราจะสร้างสิ่งที่ไม่ดี หรือชั่วร้ายได้หรือ? การนำออกซึ่งความดี หรือสันติสุขต่างหาก คือการที่พระสิริของพระเจ้าถูกถอนออกไปทำให้เกิด ผลลัพธ์ของความชั่วร้ายนั่นเอง หรือ ในการแปลอื่นๆได้กล่าวว่า“ภัยพิบัติ” หรือ “หายนะ” และในภาษาฮีบรู คำว่า רַע (rah) แปลว่า “ความชั่วร้าย” ในพระคัมภีร์เวอร์ชั่นคิงเจมส์ได้บอกความหมายของคำหลายๆคำ เช่น ภัยพิบัติ, หายนะ, ความทุกข์ยาก, การทำลาย, ความทุกข์, ความชั่วร้าย,และอื่นๆ คำเหล่านี้นั้นไม่เคยกล่าวโดยตรงว่าพระเจ้าเป็นสาเหตุหรือเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา แต่เกิดขึ้นมาเมื่อพระวิญญาณ(การประทับของพระเจ้า)ทรงเสียพระทัย และถูกผลักออกไป แล้วเราผลักไสการประทับของพระเจ้าออกไปได้อย่างไรล่ะ? โดยข้อเท็จจริงที่จริงมากๆเลยก็คือ พระเจ้าจะไม่รบกวนในอิสระการเลือกของใครเลยสักคน พระเจ้าแค่ปรารถนา การเชื่อฟังที่เกิดจากความรักของพวกเรา พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างเราให้เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกออกแบบโปรแกรมให้เคารพเชื่อฟังพระองค์ทุกอย่าง รากฐานของอาณาจักรของพระเจ้าคืออิสระ และความรัก ไม่ใช่การบังคับและการฝืนใจ
ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง (ยากอบ 1:17)
เห็นได้ชัดว่า พระคัมภีร์ยากอบได้ยืนยันกับเราว่าพระเจ้านั้นที่มอบแต่ความดีให้กับพวกเรา และพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลง พระองค์ไม่เคยมอบอะไรที่เลวร้าย หรือความชั่วร้าย หรือเป็นผู้สร้างความมืดมิด
ใครเป็น ผู้กำหนดความชั่วร้าย และความตาย?
ในพระคัมภีร์ ได้บอกกับเราไว้ว่า พระเจ้าทรงเป็นชีวิตของเรา:
“ข้าพเจ้าขออัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยานต่อท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิตเพื่อท่านและเชื้อสายของท่านจะได้มีชีวิตอยู่ด้วย มีความรักต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และติดพันอยู่กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นชีวิตและความยืนนานของท่าน เพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของท่าน คือแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบ ว่าจะประทานแก่ท่านเหล่านั้น” (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:19, 20)
ทุกชีวิตมาจากพระเจ้า เปาโลเขียนไว้ว่าไม่มีใครที่ชอบธรรมและประเสริฐอย่างพระเจ้า
“ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า เขาทุกคนหลงทางไปหมด เขาทั้งปวงเป็นคนไร้ค่าเหมือนกันทั้งสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย” (โรม 3:10-12)
เนื่องจากว่า พระองค์ผู้เดียวเป็นผู้ชอบธรรมจึงไม่มีความตายในพระเจ้า:
“ในวิถีของความชอบธรรมมีชีวิต และในทางนั้นไม่มีความมรณา” (สุภาษิต 12:28)
พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างความตาย พระองค์ไม่ใช่ผู้กำหนดมันขึ้นมา การไม่มีพระเจ้าในชีวิต เป็นผลลัพธ์ของความตายในเมื่อไม่มีความตายในพระเจ้า เนื่องจากพระเจ้าไม่มีความตาย พระองค์ก็เลยไม่สามารถมอบความตายให้เราได้พระเจ้าไม่สามารถให้ในสิ่งที่พระองค์ไม่มีได้ ก็เหมือนกับลูกน้องของคุณไม่สามารถจ่ายเงินให้คุณได้ไงล่ะถ้าพวกเขาไม่มีเงินเลย พระคัมภีร์ได้บอกเราอย่างชัดเจนว่า ซาตานแต่เพียงผู้เดียวที่มีอำนาจแห่งความตาย :
พระคัมภีร์เผยอย่างชัดเจนว่าซาตานคือผู้มีอำนาจแห่งความตาย
“ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีคุณสมบัติที่เป็นเลือดเนื้อ พระองค์เองมีส่วนร่วมในคุณสมบัติเช่นเดียวกัน เพื่อพระองค์จะได้ทำลายผู้มีอำนาจแห่งความตายคือพญามาร ด้วยการสิ้นชีวิตของพระองค์” (ฮีบรู 2:14)
ซาตานคือผู้ทำลาย ในขณะที่พระเจ้าเป็นผู้คืนชีวิตให้ พระเจ้า คือความดี ซาตาน คือความชั่วร้าย พระเจ้าทรงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายหรือ?
ไม่เลยสักนิด ซาตานเคยเป็นเครูบปกคลุมพระนิเวศของพระเจ้า เรียกว่า เสราฟิมซึ่งมีปีก6ปีก
ในพระคัมภีร์เอเสเคียลบทที่ 28 พระเจ้าทรงคร่ำครวญถึงกษัตริย์แห่ง Tyus อย่างไรก็ตาม ถ้อยคำดังกล่าวบ่งบอกว่าพระองค์ทรงพยากรณ์ให้เราเข้าใจ ถึงการล่มสลายของซาตาน:
“บุตรมนุษย์เอ๋ย จงร้องคร่ำครวญให้กับกษัตริย์ของไทระ และพูดกับเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘เจ้าเป็นแบบอย่างของความเพียบพร้อมกอปรด้วยสติปัญญา และงดงามอย่างหาที่ติมิได้ เจ้าเคยอยู่ในเอเดนสวนของพระเจ้า เจ้าสวมแต่งด้วยเพชรนิลจินดาทุกชนิด อันได้แก่ ทับทิม บุษราคัม และมรกต โกเมน พลอยหลากสี และมณีสีเขียว นิลสีคราม พลอยสีฟ้า และแก้วผลึกสีเขียวปนน้ำเงิน ซึ่งประดับวางในกรอบทองคำ เจ้าได้รับการตกแต่งเช่นนี้ตั้งแต่วันที่เจ้าถูกสร้างขึ้น เจ้าได้รับการเจิมให้เป็นเครูบผู้ปกปักรักษาเพราะเราแต่งตั้งให้เจ้าเป็นอย่างนั้น เจ้าเคยอยู่บนภูเขาอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า เจ้าก้าวเดินอยู่ท่ามกลางเพชรนิลจินดาที่ส่องประกายวิถีทางของเจ้าไม่มีที่ติ ตั้งแต่วันที่เจ้าถูกสร้างขึ้นจนกระทั่งพบว่าความชั่วร้ายอยู่ในตัวเจ้า’” (เอเสเคียล 28:12-15)
ในนิมิตของอิสยาห์ ท่านเห็นในที่ซึ่งบริสุทธิ์บนสวรรค์มีเสราฟิมอยู่ที่นั่น
“ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นชีวิต ข้าพเจ้าเห็นพระผู้เป็นเจ้านั่งบนบัลลังก์สูงและได้รับการยกย่อง ชายเสื้อคลุมยาวของพระองค์แผ่เต็มพระวิหาร มีตัวเสราฟยืนเหนือพระองค์ แต่ละตัวมี 6 ปีก ใช้ 2 ปีกปกใบหน้า 2 ปีกปกเท้า และอีก 2 ปีกใช้บิน ต่างก็ส่งเสียงร้องตอบกันและกันว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ คือพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา ทั่วแผ่นดินโลกเต็มด้วยพระบารมีของพระองค์” (อิสยาห์ 6:1-3)
ในภาษาฮีบรู คำว่า “เสราฟิม” คือ שָׂרָף (saraph) ซึ่งมีความหมายว่า “งูดึกดำบรรพ์” นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าตรัสว่า “พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่ามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลกก็ถูกผลักทิ้งลงไปพญานาคและบริวารของมันถูกผลักทิ้งลงไปในแผ่นดินโลก” (วิวรณ์ 12:9)
เสราฟิมเหล่านี้เคย “บริบูรณ์ในทาง [ของเขา] ตั้งแต่วันที่ [เขา] ถูกสร้างจนพบความชั่วช้าใน [เขา]” จะสังเกตได้ว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างความชั่วช้าในซาตาน พระองค์ไม่ได้สร้างทูตสวรรค์ที่ชั่วร้าย ความชั่วช้า (หรือความไร้ระเบียบ) ถูกค้นพบในซาตาน แล้วเจอสิ่งเหล่านี้ในซาตานได้อย่างไรละ? ก็เพราะว่าซาตานนั้นเลือกที่จะผลักพระเจ้าออกไป และยกย่องตัวเองทัดเทียมกับพระเจ้า ปรารถนาจะแทนที่พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือ พระเยซูคริสต์. ซาตานเป็นแหล่งใหญ่ของทุกสิ่งที่เป็นความชั่วร้ายจากการที่ซาตานปฏิเสธว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า (1 ยอห์น2:22) ซาตานปฏิเสธว่าพระเยซูคริสต์เป็นทางเดียวที่จะไปถึงพระบิดาได้ และได้ปฏิเสธว่าพระเยซูคริสต์เป็นแหล่งแห่งความงดงามและความชอบธรรมของพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า"เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครเข้าถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา" (ยอห์น 14:6) ให้เราสังเกตถึงสิ่งที่อิสยาห์เขียนไว้ในบทที่14 ในเรื่องเกี่ยวกับกษัตริย์แห่งบาบิโลน แต่เป็นการพยากรณ์ถึงการล่มสลายของซาตาน:
“โอ ดาวแห่งแสงสว่าง บุตรแห่งอรุณรุ่ง ท่านหล่นลงมาจากสวรรค์อย่างไรหนอ ท่านถูกตัดออกให้ตกลงสู่พื้นอย่างไรหนอ ท่านผู้ครั้งหนึ่งเคยปราบบรรดาประชาชาติ ท่านคิดในใจว่า ‘เราจะขึ้นไปบนสวรรค์ เหนือดวงดาวของพระเจ้า เราจะตั้งบัลลังก์ของเราบนที่สูง เราจะนั่งบนภูเขาแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย ที่อยู่ไกลโพ้นเหนือสุด เราจะขึ้นไปสูงกว่าหมู่เมฆ เราจะตั้งตนเทียบเท่าพระเจ้าผู้สูงสุด’” (อิสยาห์ 14:12-14)
มีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่เหมือนกับพระบิดาของพระองค์ (ฮีบรู 1:1-5) ดังเช่นราชาแห่งบาบิโลน และราชาแห่งไทรัสซึ่งได้เป็นตัวอย่างของคำพยากรณ์ในเรื่องของซาตาน ในพระคัมภีร์สุภาษิต ได้พูดถึง “พระปัญญา” เป็นการพยากรณ์ถึงพระคริสต์(1 โครินธ์ 1:24) ผู้ทรงมาจากพระบิดาของพระองค์ (สุภาษิต 8:23-30; ยอห์น 8:42) โดยการเลือกที่จะปฏิเสธพระเจ้า ลูซิเฟอร์ (งูดึกดำบรรพ์ซึ่งปัจจุบันเรียกว่ามารและซาตาน) กลายเป็นเจ้าแห่งบาปและความตาย
“…เจ้าก็เต็มด้วยการทารุณ เจ้ากระทำบาป เราจะกำจัดเจ้าเสียจากภูเขาแห่งพระเจ้า และเครูบผู้พิทักษ์นั้นก็ขับเจ้าออกไป จากท่ามกลางศิลาเพลิง” (เอเสเคียล 28:16)
เพราะว่า “ไม่มีสัจจะ (ความสว่าง) ในมัน(ซาตาน)” (ยอห์น 8:44)
นี่คือเหตุผลที่ เปาโลกล่าวไว้ว่า:
“ด้วยว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับศัตรูที่มีเลือดเนื้อ แต่ต่อสู้กับบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครอง บรรดาผู้มีสิทธิอำนาจ บรรดาผู้ครองโลกแห่งความมืดนี้ และต่อสู้กับพลังฝ่ายวิญญาณแห่งความชั่วในอาณาเขตสวรรค์” (เอเฟซัส 6:12)
เมื่อพระเยซูทรงปรากฏต่อหน้าเปาโล หลังจากการกลับใจของเขา พระองค์ตรัสว่า
“ข้าพเจ้าถามว่า ‘พระองค์ท่าน พระองค์เป็นผู้ใด’ พระองค์ท่านตอบว่า ‘เราคือเยซูผู้ที่เจ้ากำลังข่มเหง จงลุกขึ้นยืนเถิด เราปรากฏแก่เจ้าเพื่อแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้รับใช้ และเป็นผู้ให้คำยืนยันถึงสิ่งที่เจ้าเห็นแล้ว อีกทั้งสิ่งที่เราจะปรากฏให้แก่เจ้าอีกด้วย เราจะช่วยเจ้าให้รอดจากชาวยิวและจากพวกคนนอกที่เรากำลังจะใช้เจ้าให้ไปหา เพื่อให้เขาลืมตาและหันจากความมืดสู่ความสว่าง และหันจากอำนาจของซาตานเข้าหาพระเจ้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับการยกโทษบาป และได้รับมรดกร่วมกับหมู่คนที่พระเจ้าชำระให้บริสุทธิ์แล้วเพราะเขามีความเชื่อในเรา’” (กิจการของอัครทูต 26:15-18)
นี่คือเหตุผลที่ เปาโลกล่าวไว้ว่า:
• “ความมืด” = “อำนาจของซาตาน”
• “ความสว่าง” = “พระเจ้า”
การขาดความสว่างจึงเป็นเหตุให้มีความมืด การขาดพระเจ้าจึงทำให้มีอำนาจของซาตาน และอำนาจของซาตานคืออำนาจแห่งความตาย ซาตานไม่มีชีวิตในตัวมันเอง พระเจ้าทรงค้ำจุนเขาแม้ในขณะที่เขา หรือใครก็ตามกำลังก่อความชั่ว “เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์” (กิจการ 17:28)
ดังนั้นซาตานจึงบิดเบือนอำนาจที่ยั่งยืนของพระเจ้าในการกระทำความชั่ว ด้วยความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรา ทุกคนพระเจ้ายอมให้มีการทำบาปมากมายเกิดขึ้น เพื่อที่เราจะได้เห็นผลแห่งความหายนะ และเพื่อเราที่จะแสวงหาพระคุณของพระเจ้า
“เมื่อมีพระราชบัญญัติก็ทำให้มีการละเมิดพระราชบัญญัติปรากฏมากขึ้น แต่ที่ใดมีบาปปรากฏมากขึ้น ที่นั่นพระคุณก็จะไพบูลย์ยิ่งขึ้น เพื่อว่าบาปได้ครอบงำทำให้ถึงซึ่งความตายฉันใด พระคุณก็ครอบงำด้วยความชอบธรรมให้ถึงซึ่งชีวิตนิรันดร์ โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราฉันนั้น” (โรม 5:20, 21)
โดยธรรมชาติของความคิดของมนุษย์ จะไม่ได้ตระหนักถึงความมืดมิด มนุษย์จะถูกสอนในเรื่องพระคุณความดีงามของพระเจ้า ดังนั้น เขาจะสามารถกลับใจและคืนดีกันกับพระเจ้าถ้าพวกเขาต้องการ เพื่อการนี้ พระเจ้าได้ใช้พระบัญญัติของพระองค์เพื่อแสดงให้เราเห็นความบาป และผลที่ตามมาของมัน ขณะเดียวกัน พระเจ้าได้ทรงสละชีวิตของพระบุตรของพระองค์ เพื่อเขียนพระบัญญัติในใจของพวกเรา เพื่อที่เราจะได้เจ้าถึงชีวิตนิรันดร์ เปาโลเขียนไว้ว่า
ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ว่าพระราชบัญญัติคือบาปหรือ ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย แต่ว่าถ้ามิใช่เพราะพระราชบัญญัติแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่รู้จักบาป เพราะว่าถ้าพระราชบัญญัติมิได้ห้ามว่า “อย่าโลภ” ข้าพเจ้าก็จะไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภ แต่ว่าบาปได้ถือเอาพระบัญญัตินั้นเป็นช่อง ทำให้ตัณหาชั่วทุกอย่างเกิดขึ้นในตัวข้าพเจ้า เพราะว่าถ้าไม่มีพระราชบัญญัติ บาปก็ตายเสียแล้ว เหตุฉะนั้นพระราชบัญญัติจึงเป็นสิ่งบริสุทธิ์ และพระบัญญัติก็บริสุทธิ์ ยุติธรรม และดี” (โรม 7:7, 8, 12,)
ซาตานได้ปฏิเสธพระเจ้าในพระคุณความดีของพระองค์ ดังนั้นซาตานจึงจะไม่เคยแสวงหาพระคุณของพระเจ้า เขาได้เลือกสิ่งชั่วร้าย เพราะฉะนั้นความชั่วร้ายที่ได้พบอยู่ท่ามกลางงูที่ลุกเป็นไฟนี้ จะส่งผลให้เขาตายด้วยไฟ
“เจ้ากระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเจ้าเป็นมลทิน โดยความชั่วช้าเป็นอันมากของเจ้า ในการค้าอันชั่วช้าของเจ้า เหตุฉะนั้นเราจะนำไฟออกมาจากท่ามกลางเจ้า ไฟจะเผาผลาญเจ้า เราจะกระทำให้เจ้าเป็นเถ้าถ่านไปบนแผ่นดินโลกท่ามกลางสายตาของคนทั้งปวงที่มองดูเจ้าอยู่” (เอเสเคียล 28:18)
แล้วพระเจ้าคือ”สาเหตุ”ที่ทำให้ซาตานพบจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร? ง่ายมาก ก็โดยการที่ทรงอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นไงล่ะ เนื่องจากซาตานปฏิเสธความรัก และพระเมตตาของพระเจ้าอย่างไม่ลดละ พระเจ้าก็จะทรงยอมให้ความชั่วร้ายซึ่งซาตานปรารถนากลืนกินเขาทั้งน้ำตา
กษัตริย์ดาวิดกล่าวว่า “ความชั่วจะสังหารคนอธรรม และบรรดาผู้ที่เกลียดชังคนชอบธรรมจะถูกปรับโทษ” (สดุดี 34:21)
เปาโลกล่าวว่า “ค่าจ้างของความบาปคือความตาย” (โรม 6:23) ในยากอบ กล่าวว่าความบาป (ไม่ใช่พระเจ้า) นำไปสู่ความตาย (ยากอบ 1:14, 15). ทำไมล่ะ? เพราะว่า ความมืด, ความชั่วร้าย, และ ความตาย คือการขาดจากพระสิริความสว่างของพระเจ้า สันติสุขของพระเจ้า และจากชีวิตที่มีในพระเจ้า
แล้วคุณล่ะ อยากจะเลือกแบบไหน?