Fatheroflove-thailand

ดั่งพระเยซู “พักผ่อนในความหวัง”

โพสต์ กันยายน 22, 2018 โดย Robert Wieland ใน ความเชื่อ
แปลโดย Danny Brown; Pimpa Pitchayaadison
2,113 มีคนดู

ดั่งพระเยซู “พักผ่อนในความหวัง” Like Jesus, "Rest in Hope"

บางครั้งมนุษย์เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะสิ้นหวัง เลวร้ายเหลือเกินจนคิดไปว่าสภาพนรกยังไม่เลวร้ายเท่าสถานการณ์เช่นนี้ จากนั้นเราอาจสูญเสียความเชื่อ ละทิ้งการยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งจะทำให้เราเหมือนอยู่ในสภาพนรกจริงๆ

Sometimes we humans get into situations that seem to be so hopeless, so terrible, that we imagine that hell itself could not be worse. It is then that we can lose our faith, lose our grip on God; and then we really are in a hell-like condition.

เราต้องจำไว้ว่า (และเราไม่สามารถจำสิ่งที่เราไม่เคยรู้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องเรียนรู้) ว่าพระบุตรของพระเจ้าเคยอยู่ในนรกจริง เปโตรตอนช่วงเทศกาลเพ็นเทคอสต์กล่าวถึง “ความตายอันปวดร้าว”(กิจการ 2:24) ที่พยายามยึดพระองค์ไว้ที่ไม้กางเขนและในหลุมฝังศพ แล้วเปโตรยกคำอธิษฐานที่พระเยซูตรัสหลังจากชัยชนะด้วยความเชื่อบนไม้กางเขนมาว่า “เพราะพระองค์จะไม่ทรงละข้าพระองค์ไว้ในแดนคนตาย” (คำนี้แปลว่านรกในที่อื่น ๆ)

Then we must remember (and we cannot remember what we have never known, so we need to learn!) that the Son of God was actually in hell itself. Peter at Pentecost spoke of "the pains of death" that were trying to hold Him at His crucifixion and in His burial, then he quotes the prayer that Jesus prayed after His victory of faith on His cross, "Thou wilt not leave My soul in hell" (Acts 2:24-27, King James Version; the word is "Hades" in Greek, "Sheol" in Hebrew; the KJV renders it correctly!).

เมื่อพระเยซูทรงประสูติเป็นมนุษย์ พระองค์ได้ทรงละทิ้งอำนาจที่มีในสวรรค์ พระคริสต์ “ทรงสละพระองค์เอง” (ฟีลิปปี 2:7) เช่นเดียวกับน้ำหยดสุดท้ายจากขวดที่คว่ำลง สภาพเดียวของพระเจ้าที่ยังคงเหลืออยู่คือ พระลักษณะความรักอันสมบูรณ์ ซึ่งเป็นความรักจากสวรรค์ที่เลือกที่จะไปสู่นรกเพราะความห่วงใยผู้อื่น เพื่อผู้อื่นจะไม่ต้องลงนรก นั่นคือ “ความรัก” พระเยซูทรงรู้สึกถึงความ “เจ็บปวด” ทั้งสิ้น ที่ผู้หลงหายจะรู้สึกในการพิพากษาครั้งสุดท้าย (กิจการ 2:24) คนที่เขียนบทเพลงสดุดีพูดถูก — จิตวิญญาณของพระคริสต์ “ไว้กับแดนคนตาย”และเผชิญความ “เปื่อยเน่า” เปโตรเข้าใจอย่างถูกต้อง

In His incarnation, Christ had laid aside all that His previous omnipotence had been. In becoming man, He had "emptied Himself" like one drains the last drop from an upturned bottle (Phil. 2:5-7, New American Standard Version). The only residue of His divinity that remained was His character of agape, a heavenly love that chooses to go to hell in its concern for someone else so that person won't have to go to hell. That is "love"! All "the pains" that any lost person will ever feel in the last judgment, Jesus felt. The Psalmist was right--Christ's "soul [was] in Sheol," facing "corruption" (Psalm 16:10), and Peter understood it correctly.

และประเด็นที่เรากำลังพิจารณาอยู่คือ เมื่อท่านรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านนั้นไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว ข่าวดีก็คือว่า พระบุตรของพระเจ้ากำลังทรงทุกข์ทรมานเคียงข้างท่าน พระองค์ทรงอยู่ใกล้ท่านกว่าการอยู่เคียงข้าง เพราะทรงกำลังทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับคุณ—แม้จนถึงที่สิ้นสุดของความเป็นนรก พระองค์จะทรงแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับท่าน

And the point we are now considering is that when you feel that what's happening to you couldn't be worse, the News is that the Son of God is suffering its agony side by side with you, and that News is Good. He is closer even than "side by side": He is suffering as you--even to the infinite extent of what hell will be. He is intimately one with you.

ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงทรงประทานถ้อยคำที่ทำให้เราเชื่อ ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นคำของพระองค์แต่มันจะกลายเป็นคำของท่านเมื่อท่านเลือกที่จะเชื่อในพระองค์ [เป็นพระวจนะแห่งความเชื่อของพระเยซูคริสต์ต่อพระบิดาของพระองค์ผู้ทรงเป็นพระบิดาของเรา] “ตอนกลางคืนจิตใจของข้าพเจ้าเตือนสอนข้าพเจ้า …ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว เพราะฉะนั้น ใจข้าพเจ้าจึงปิติยินดี …พระองค์ทรงสำแดงวิถีแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์ ต่อพระพักตร์พระองค์มีความยินดีเปี่ยมล้น ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์มีความเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์ (สดุดี 16:7-11)

จงอย่ารังเกียจที่จะเสริมสร้างประสบการณ์ของท่านให้สนิทชิดใกล้พระเยซูมากยิ่งขึ้น

Because of that, He gives you some words to believe; they are His words but they become your words the moment you choose to believe in Him [they are words of faith of Jesus to His Father, who is our Father]: "My heart also instructs me in the night seasons. ... I shall not be moved. Therefore my heart is glad, ... You will show Me the path of life; in Your presence is fullness of joy; at Your right hand are pleasures forevermore." That is the light that shines even in the darkness of hell. Like Jesus, you "rest in hope. For You will not leave my soul in hell" (Psalm 16:7-11).

Don't resent an experience that deepens your intimate oneness with Jesus!

--Robert J. Wieland

  • ข้าพเจ้าจะกล่าวให้คิดถึงความรักมั่นคงของพระยาห์เวห์
  • และกิจการอันน่าสรรเสริญของพระยาห์เวห์
  • ตามทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ประทานแก่พวกเรา
  • และตามความดีใหญ่ยิ่งที่มีต่อวงศ์วานของอิสราเอล
  • ซึ่งพระองค์ประทานตามพระกรุณาของพระองค์
  • และตามความรักมั่นคงอันอุดมของพระองค์
  • เพราะพระองค์ตรัสว่า “แท้จริงคนเหล่านี้เป็นชนชาติของเรา
  • เป็นบุตรที่ไม่ประพฤติคดโกงต่อเรา”
  • พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา
  • พระองค์ทุกข์พระทัยในความทุกข์ทั้งหมดของเขา
  • แล้วทูตสวรรค์ที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์[คริสต์]ช่วยพวกเขาให้รอด
  • พระองค์ทรงไถ่เขาด้วยความรักและความสงสารของพระองค์
  • พระองค์ทรงยกพวกเขาขึ้นและหอบเขาไปตลอดกาลก่อน
  • อิสยาห์ 63:7-9